Ministry of Health (MOH) Blog สุขภาพ ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับโรคหัวใจที่คุณไม่ควรมองข้าม
สุขภาพ ความรู้รอบตัว

ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับโรคหัวใจที่คุณไม่ควรมองข้าม

โรคหัวใจ เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตเป็นอันดับต้น ๆ ของคนไทย เนื่องจากคนมีพฤติกรรมเสี่ยงกันมากขึ้น ทั้งการรับประทานอาหาร การไม่ดูแลสุขภาพร่างกาย ซึ่งบางคนอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นโรคหัวใจ เพราะอาการบางอย่างอาจจะคล้ายคลึงกับอีกหลายๆ โรค ดังนั้นเราจึงควรมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับ สาเหตุ,อาการ และวิธีที่ใช้ในการรักษา เพื่อลดความเสี่ยงไม่ให้เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตค่ะ

ประเภทของโรคหัวใจ

โรคหัวใจคือกลุ่มของภาวะที่ส่งผลต่อการทำงานของหัวใจ มีหลายประเภทดังนี้

โรคหลอดเลือดหัวใจ

เกิดจากการที่ไขมันสะสมบนผนังหลอดเลือดหัวใจจนทำให้เลือดไหลผ่านหลอดเลือดได้น้อยลง สามารถนำไปสู่อาการอกหักได้

โรคล้มเหลวของหัวใจ

เกิดจากการที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายได้เพียงพอ

โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด

เป็นภาวะที่พบตั้งแต่กำเนิด เกี่ยวกับโครงสร้างของหัวใจที่ไม่พัฒนาอย่างสมบูรณ์

โรคหัวใจห้องบนกระตุกเร็ว

เกิดจากการที่ห้องบนของหัวใจมีการเต้นที่เร็วและไม่สม่ำเสมอ

โรคหัวใจห้องล่างกระตุกเร็ว

เกิดจากการที่ห้องล่างของหัวใจเต้นเร็วและไม่ปกติ

การป้องกันโรคหัวใจสามารถทำได้โดยการดูแลสุขภาพให้ดี เช่น การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และการควบคุมน้ำหนักตัว สำหรับการรักษา อาจรวมถึงการใช้ยา การผ่าตัด หรือการแทรกแซงทางการแพทย์อื่นๆ ขึ้นอยู่กับประเภทและระดับความรุนแรงของโรคหัวใจ

สาเหตุที่ทำให้เป็นโรคหัวใจ

สาเหตุของโรคหัวใจมีหลายปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้นได้ โดยสามารถแบ่งออกเป็นปัจจัยทางพันธุกรรมและปัจจัยทางพฤติกรรมหรือสิ่งแวดล้อมได้ดังนี้

  1. พันธุกรรม ปัจจัยพันธุกรรมเป็นสาเหตุหลักที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ถ้ามีประวัติครอบครัวที่มีโรคหัวใจ โอกาสที่จะเป็นโรคหัวใจจะสูงขึ้น
  2. อายุและเพศ โอกาสเป็นโรคหัวใจจะเพิ่มขึ้นตามอายุ โดยเฉพาะในผู้ชายที่มีอายุมากกว่า 45 ปี และผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 55 ปี หรือหลังจากหมดประจำเดือน
  3. ระดับคอเลสเตอรอลสูง การมีคอเลสเตอรอล LDL (“คอเลสเตอรอลไม่ดี”) ที่สูงจะทำให้ไขมันสะสมในหลอดเลือดหัวใจ ทำให้เลือดไหลผ่านได้ยาก
  4. ความดันโลหิตสูง ทำให้หัวใจต้องทำงานหนักกว่าปกติ เพื่อสูบฉีดเลือด นำไปสู่การทำลายหลอดเลือดหัวใจ
  5. การสูบบุหรี่ สารเคมีในบุหรี่สามารถทำให้หลอดเลือดหัวใจเกิดการอักเสบและสะสมไขมันได้
  6. โรคเบาหวาน ทำให้ความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจและโรคหัวใจล้มเหลวสูงขึ้น
  7. การออกกำลังกายน้อย การขาดการออกกำลังกายทำให้หัวใจอ่อนแอและไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  8. อาหารไม่ดี การรับประทานอาหารที่มีไขมันทรานส์สูง ไขมันอิ่มตัวสูง และเกลือสูง สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจได้
  9. ความเครียด ความเครียดสูงส่งผลต่อหัวใจโดยตรงและสามารถนำไปสู่การตัดสินใจที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เช่น การสูบบุหรี่หรือการกินอาหารไม่ดี

อาการของโรคหัวใจเบื้องต้นที่ควรรู้

  1. อาการเจ็บหน้าอก ซึ่งอาการนี้จะรู้สึกเหมือนมีอะไรมากดทับหรือบีบที่หน้าอก และอาจจะรามไปยังแขน คอ กราม หรือหลัง
  2. หายใจไม่สะดวกหรือหายใจถี่ รู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก หรือหายใจลำบากโดยเฉพาะเมื่อออกกำลังกายหรือนอนราบ
  3. อ่อนเพลียง่าย รู้สึกเหนื่อยหรือไม่มีพลังง่ายกว่าปกติ แม้แต่การทำกิจกรรมเล็กน้อย
  4. บวมน้ำ บวมที่ขา ข้อเท้า หรือเท้า ซึ่งเกิดจากการที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้เพียงพอ ทำให้เกิดการสะสมของของเหลว
  5. หัวใจเต้นผิดปกติ รู้สึกเหมือนหัวใจเต้นไม่ปกติ ไม่ว่าจะเร็วเกินไป ช้าเกินไป หรือไม่สม่ำเสมอ
  6. ความรู้สึกเหมือนมึนงงหรือเป็นลม อาจเกิดจากการที่หัวใจไม่สามารถส่งออกซิเจนและสารอาหารที่จำเป็นไปยังสมองได้เพียงพอ
  7. เหงื่อออกมาก รวมถึงเหงื่อที่เกิดขึ้นโดยไม่มีการออกกำลังกายหรือการกระตุ้นจากสิ่งแวดล้อม

วิธีที่ใช้ในการรักษาโรคหัวใจ

การรักษาโรคหัวใจขึ้นอยู่กับประเภทและความรุนแรงของโรค ตลอดจนปัจจัยเสี่ยงและสภาพสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย นี่คือวิธีการรักษาหลักๆ ที่ใช้สำหรับโรคหัวใจ

  1. การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต มีส่วนสำคัญมากในการควบคุมและป้องกันโรคหัวใจ
  • การรับประทานอาหารที่ดีต่อหัวใจ: เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช ปลา และไขมันไม่อิ่มตัว
  • การออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์
  • การลดความเครียด
  1. การใช้ยา มียาหลายชนิดที่สามารถช่วยควบคุมโรคหัวใจ เช่น
  • ยาลดความดันโลหิต เช่น ACE inhibitors หรือ beta blockers
  • ยาลดคอเลสเตอรอล เช่น statins
  • ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น aspirin หรือ anticoagulants
  • ยาขยายหลอดเลือด เช่น nitroglycerin
  1. การแทรกแซงทางการแพทย์และการผ่าตัด ในบางกรณีที่โรคหัวใจรุนแรงหรือไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยา อาจต้องใช้วิธีการผ่าตัด เช่น
  • การติดตั้ง Stent การใส่สเตนต์เพื่อเปิดหลอดเลือดที่ตีบตัน
  • การผ่าตัด CABG (Coronary Artery Bypass Grafting) การผ่าตัดบายพาสหัวใจ เพื่อหลีกเลี่ยงบริเวณหลอดเลือดตีบ
  • การผ่าตัดซ่อมหัวใจ เช่น การแก้ไขหรือเปลี่ยนวาล์วหัวใจ

การติดตามกับแพทย์เป็นประจำและปรับเปลี่ยนแผนการรักษาตามคำแนะนำของแพทย์เป็นสิ่งสำคัญในการจัดการโรคหัวใจและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ค่ะ

Exit mobile version