December 12, 2024
Bangkok, Thailand
สุขภาพ ความรู้รอบตัว

มาทำความรู้จักกับโรคมือชา เท้าชาให้มากขึ้นกัน จะได้รับมือได้อย่างตรงจุด และถูกต้อง

โรคมือชา ท้าชา หรือที่รู้จักในทางการแพทย์ว่า “peripheral neuropathy” คือภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อเส้นประสาทนอกสมองและไขสันหลัง (เส้นประสาทส่วนปลาย) ได้รับความเสียหายหรือทำงานผิดปกติ ส่งผลให้เกิดอาการชา ปวด หรือเสียสัมผัสในแขน ขา มือ และเท้า

สาเหตุที่ทำให้เป็นโรคมือชา เท้าชา

1.โรคเบาหวาน: เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการเสียหายต่อเส้นประสาท ซึ่งเรียกว่า diabetic neuropathy

2.ขาดวิตามิน: การขาดวิตามินบางชนิด เช่น B12 และ B1 ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการรักษาสุขภาพของเส้นประสาท

3.การบาดเจ็บ: การบาดเจ็บที่กระทบต่อเส้นประสาท เช่น จากการผ่าตัดหรืออุบัติเหตุ

4.การบริโภคแอลกอฮอล์มากเกินไป: แอลกอฮอล์สามารถทำลายเส้นประสาทได้หากบริโภคในปริมาณมากเป็นเวลานาน

5.โรคติดเชื้อ เช่น HIV, โรคลายม์, หรือโรคซิฟิลิส สามารถทำให้เกิดความเสียหายต่อเส้นประสาท

6.ความผิดปกติทางอัตโนมัติ: โรคต่างๆ ที่กระทบต่อการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติ ซึ่งควบคุมการทำงานของอวัยวะภายใน

อาการของโรคมือชา เท้าชา

อาการชาหรือเสียสัมผัส: อาจรู้สึกว่ามือหรือเท้าไม่มีความรู้สึกหรือมีความรู้สึกเหมือนถูกเข็มแทง

ปวดรุนแรง: อาจเป็นอาการปวดแบบเจาะจี้หรือเหมือนไฟไหม้

ความรู้สึกเหมือนสวมถุงมือหรือถุงเท้า: ซึ่งเป็นอาการที่พบบ่อยในผู้ที่มีการเสียหายของเส้นประสาทในมือหรือเท้า

ความอ่อนแอของกล้ามเนื้อ: ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาในการเคลื่อนไหวหรือทรงตัวได้ยาก

วิธีป้องกันและรักษาโรคมือชา เท้าชา

การป้องกัน และรักษาอาการมือชา เท้าชาขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ก่อให้เกิดอาการ นี่คือแนวทางทั่วไปสำหรับการป้องกันและการรักษา

การป้องกัน

1.ปรับท่าทาง หลีกเลี่ยงการนั่งหรือยืนในท่าที่ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นเวลานาน พยายามยืดเส้นยืดสายและเปลี่ยนท่าทางบ่อยๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการกดทับเส้นประสาทหรือการหนีบเส้นประสาท

2.ออกกำลังกายเป็นประจำ การออกกำลังกายช่วยเสริมสร้างการไหลเวียนของเลือด และสามารถลดความเสี่ยงของการมีอาการชาได้ การออกกำลังกายที่เหมาะสมรวมถึงการเดินเร็ว, ว่ายน้ำ หรือการขี่จักรยาน

3.รับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน และแร่ธาตุ เช่น วิตามินบี12, แมกนีเซียม และโพแทสเซียม เพื่อช่วยรักษาระบบประสาทและการไหลเวียนของเลือดให้แข็งแรง

ด้านการรักษา

1.รักษาตามอาการ: ในกรณีที่อาการไม่รุนแรงหรือเกิดขึ้นชั่วคราว จะใช้แผ่นร้อนหรือแผ่นเย็นบนบริเวณที่ชาอาจช่วยบรรเทาอาการชาให้ดีขึ้นได้

2.การใช้ยา: ยาแก้ปวดหรือยาอื่นๆ ที่แพทย์จ่ายอาจช่วยบรรเทาอาการปวดหรืออาการชาที่เกิดจากการบีบอัดเส้นประสาทหรือการอักเสบ

3.การบำบัดทางกายภาพ: การรักษาด้วยวิธีการบำบัดทางกายภาพ รวมถึงการนวด, การยืดเส้นยืดสาย และการฝึกท่าทางอาจช่วยลดอาการชาและฟื้นฟูการทำงานของเส้นประสาท

4.แนวทางในการรักษาทางการแพทย์ ในกรณีที่อาการชาเกิดจากสาเหตุทางการแพทย์ เช่น โรคเบาหวานหรือการกดทับเส้นประสาท อาจต้องมีการรักษาโดยตรงต่อสาเหตุ ซึ่งอาจรวมถึงการผ่าตัดในกรณีที่มีการกดทับเส้นประสาทอย่างรุนแรง

สรุป

ทั้งนี้หากมีอาการมือชา เท้าชา เกิดขึ้นบ่อยหรือไม่หายไป ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจหาสาเหตุและรับการรักษาที่เหมาะสมทันที การตรวจสอบอาการและหาสาเหตุเบื้องต้นเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันการเสียหายที่รุนแรงต่อเส้นประสาทหรือหลอดเลือดในระยะยาว ด้านการรักษา และป้องกันอาการมือ เท้าชา ควรปรึกษาแพทย์และทำตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการรักษา